วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

แบ่งปัน

ที่มา : ดอนบอสโก นิตยสารครอบครัวซาเลเซียน ปีที่ 51 กันยายน 2552ที่สนามบินนานาชาติระดับโลกแห่งหนึ่ง มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1เล่ม และคุกกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกินฆ่าเวลาไปพลางๆ เธอมองหาที่นั่งได้ 1 แห่งเมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุกกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลางๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอ มีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใครว่าจะมีใครนั่งอยู่บ้าง สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุกกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันทีละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุกกี้ และเฝ้ามองนาฬิกาในขณะที่ชายหนุ่ม ซึ่งเป็นขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอก็เริ่มโมโห พลางก็คิดในใจว่า “ถ้าฉันไม่ใช่ผู้มีการศึกษาแล้วละก็ ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี่ให้แหลกไปเลย”ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุกกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากจะรู้ว่า ชายหนุ่มจะทำอย่างไรอีก ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบคุกกี้ชิ้นสุดท้ายมาหักออกเป็น 2 ส่วน แล้วส่งให้เธอครึ่งหนึ่ง และกินเองอีกครั้งหนึ่ง เธอรับคุกกี้จากหนุ่มมา พลางก็คิดอยู่ในใจว่า “เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ทำมาแบ่งให้แม้ไม่ใช่ของตัวเอง โอ...ไฉนไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ”เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาท ซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม หลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่แล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า เธอก็พบว่ายังมีขนมคุกกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก ถ้าคุกกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า... คุ๊กกี้ห่อนั้น เป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกินเธอรีบลุกขึ้นทันที วิ่งออกจากเครื่อง ตรงไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม ทว่าเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสาย ไปเสียแล้วที่จะกล่าวขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับขึ้นเครื่องเธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอเองต่างหากที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง มีสักกี่ครั้งในชีวิตเรา ที่มาค้นพบในภายหลังว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีสักกี่ครั้งในชีวิตที่เราไว้วางใจผู้อื่น จนทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งอยู่ห่างจากความเป็นจริงมากมาย”สิ่งนี้ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนที่จะตัดสินผู้อื่นหลายสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่มองเห็น เราควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วถามตัวเองบ่อยๆว่า ฉันมองโลกในแง่ดีพอหรือยัง? ฉันเคยแบ่งปันอะไร – ให้ใคร – บ้างไหม? ...

ค่าของคน

ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมียายแก่คนหนึ่ง สามีเสียชีวิต ส่วนลูกหลานก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ยายแก่ทำมาหากินอยู่ตัวคนเดียวด้วยความขยันขันแข็งมาตลอด แกเก็บเล็กผสมน้อย ใช้จ่ายอย่าง กระเหม็ดกระแหม่ จึงสะสมเงินทองไว้ได้พอสมควร แกจึงไปซื้อไหเก่าใบหนึ่งมาใส่เงินนั้นไว้ จะไปไหนก็จะอุ้มไหติดตัวไปด้วย และไม่เคยเปิดไหอวดใครเลย ครั้นเมื่อยายอายุมากขึ้นๆ ทำงานอย่างเดิมไม่ไหว ลูก หลาน ซึ่งพากันคิดว่ายายแก่ คงจะต้องมีทรัพย์สมบัติมาก จึงพากันมารับยายแก่ไปอยู่ด้วย ยายแก่ก็รู้เท่าทันแต่ก็ทำเฉยเสีย ช่วยลูกหลานทำงานสุดกำลัง เพื่อไม่ให้ลูกหลานดูถูกได้ว่าเสียข้าวสุกเปล่า หรือเกาะเขากินจนวันหนึ่งแกลงไปดายหญ้าทำสวนอยู่คนเดียว แดดก็จัด แกรู้สึกปวดหลังเป็นกำลัง ถึงกับล้มฟาดไปไม่รู้ตัว หมดสติอยู่กลางแดดเป็นเวลานานกว่าลูกหลานจะมาพบ และช่วยกันอุ้มเข้าบ้าน เมื่อแกฟื้นขึ้นมาปรากฏว่าแกเป็นอัมพาตพอจะพูดและเคลื่อนไหวได้บ้าง รักษาอยู่เป็นเวลานานก็ไม่ทุเลา แกใช้เงินที่แกสะสมไว้เป็นค่ารักษาจนหมด ลูกหลานทั้งหลายพากันเดาว่ายายแก่คงใช้เงินรักษาจนหมดตัวแล้ว จึงพากันตีตัวออกห่างในที่สุดเพื่อนบ้านแถวนั้นทนไม่ได้จึงผลัดกันมาดูแลยายแก่ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่การงานต้องทำจะมาพยาบาลอยู่นานก็ไม่ได้ ยายแก่จึงต้องช่วยตัวเองซะส่วนมาก จะไปถ่ายอุจระก็ไม่ได้ ไหของแกเมื่อเงินทองหมดก็ยังว่างเปล่าอยู่ แกจึงถ่ายอุจระไว้ในไหนั้นทุกวัน แล้วก็ปิดฝาไว้เมื่อมีชาวบ้านมาเยี่ยม แกก็เริ่มคุยอวดชาวบ้านว่าความจริงเงินของแกก็ยังพอจะมีเหลือ "ฉันกันเงินของฉันไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้ตอนเข้าตาจน ไม่เชื่อลองโยกไหดูสิ" ชาวบ้านต่างก็ลองเอามือผลักไหดู ก็เชื่อว่ามี เงินอยู่ในนั้นแน่ พอกลับบ้านต่างคนก็ต่างไปเล่าต่อๆกัน "ยายแก่ แกยังมีเงินเหลืออยู่ไม่น้อยเลย ไหที่ใส่ไว้หนักอึ้งทีเดียว"ความนี้ในที่สุดก็ไปเข้าหูหลานๆของยายแก่ด้วยความละโมบจึงพากันกลับมาคอยรับ ใช้ยายแก่อีกต่างคนก็ชิงกันเอาใจ ยายแก่ เพราะหวังจะครอบครองทั้งทองและเงินในไห ต่อมาไม่นานยายแก่ก็ ถึง อายุขัย หลานๆก็จัดงานศพเสียงดงามเมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ลูกหลานทุกคนก็ต่างคิดบัญชีค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้แบ่งเงินในไหว่า ใครได้ส่วนแบ่งมาก ใครได้น้อย พอคิดบัญชีเสร็จแล้วก็ยังทะเลาะกันจนยุติไม่ได้ เพราะต่างคนก็อยากจะได้มาก ไม่มีใครยอมใคร ในที่สุดก็ตกลงให้เปิดไหก่อนเพื่อจะนับเงินทอง แต่แล้วทุกคนก็ต้องผิดหวัง เพราะพอเผยอฝาไหออก กลิ่นอุจระก็เหม็นคลุ้ง จนทุกคนผงะหงายลูกหลานทุกคนเสียรู้ยายแก่เสียแล้ว

ความฝันโบยบิน

เนื้อเพลง ความฝัน โบยบิน-ร้องหมู่(อู๋) บนทางเดินที่ฉันมุ่งไปยาวไกลลิบตา(ม็อก) บนทางเดินที่ไม่ได้โรยด้วยดอกไม้บาน(ร็อกกี้) มันเป็นทางที่ฉันเลือกไปเพื่อไขว่คว้าดาว(แบ๋ว) มันคือทางที่ฉันมั่นใจว่ามาถูกทาง(เวียร์) ไม่ว่าดาวที่เราตามหา จะอยู่สุดฟ้าก็ไม่ท้อใจ(แพนเค้ก) เพียงเรา ยังพร้อมใจเดินก้าวไปด้วยกัน(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทางก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไปแม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตามเพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจเราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า(วิน) ทางจะไกล จะยากจะเย็นเพียงใด ไม่กลัว(ขวัญ) ทางจะมี แต่หนามคมคอยทิ่มตำ ไม่เกรง(เบิ้ม) ทางจะชัน แต่ฉันก็พร้อมป่ายปีนขึ้นไป(เบนซ์) เราจะไป ให้ถึงปลายทางด้วยใจที่มี(เวียร์) ไม่ว่าดาวที่เราตามหา จะอยู่สุดฟ้าก็ไม่ท้อใจ(แพนเค้ก) เพียงเรา ยังพร้อมใจเดินก้าวไปด้วยกัน(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทางก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไปแม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตามเพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจเราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทางก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไปแม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตามเพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจเราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า(หมู่) เพียงแค่มีเธอ ร่วมทางก็จะมีฉัน ร่วมใจ เราจะมีเราไม่ทอดทิ้งไปแม้ฝันจะอยู่ไกลเท่าไรก็ตามเพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจเราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้าเพียงแค่มีเธอ ร่วมทาง ก็จะมีฉัน ร่วมใจเราจะมีเราโบยบินไปด้วยกัน ไปเป็นดาวบนฟ้า

แล้วไงล่ะ

เนื้อเพลง แล้วไงล่ะ-วิน ขวัญ(ญ) ถามเหอะถามจริงๆเธอเป็นหญิงหรือว่าเป็นชายทำไมขี้อายขนาดนี้(ช) แล้วมันเป็นยังไงผิดตรงไหนหรือว่าไม่ดี(ญ) ดีแต่มันเกินไปสักหน่อย(ช) ว่าก็ว่านะเธอ ถ้าไม่รู้อย่าพูดดีกว่านี่แหละเขาเรียกแมนเกินร้อย(ญ) โอ๊ย ขอบคุณที่บอกแต่ยังไงก็ดูสำออย(ช) โถ น้อยๆ หน่อยแม่คุณ(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ช) ทำไมอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ญ) ทำไมอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน(ช) ถ้าอยากรู้จริงๆกล้ามาคบกับฉันรึเปล่าจะทำให้รู้เลยเอาไหม(ญ) ไม่ใช่เรื่องสักหน่อยไม่อยากรู้มันสักเท่าไร(ช) โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าแน่(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ช) ทำไมอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ญ) ทำไมอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ช) ทำไมอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ญ) ทำไมอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน(ญ) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ช) ทำไมอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) ถามแค่เนี๊ยะทำเป็นขี้บ่น(ช) ก็แล้วทำไมอ่ะ(ญ) ทำไมอ่ะ(ช) เอาไงอ่ะ(ญ) เอาไงอ่ะ(ช) ถามอย่างเงี๊ยะระวังเดี๋ยวจะโดน

ไทดำลำพัน

เนื้อเพลง ไทดำลำพันสิบห้าปี ที่ไตเฮา ห่างแดนดิน(เดินกันไป)จงเอ็นดู หมู่ข้าน้อย ที่พลอยพลากบ้านเฮาคนไต ย้ายกันไปทุกถิ่นทุกฐาน จงฮักกันเด้อ....ไตดำเฮานาสิบห้าปี ไตดำเฮา เสียดายเด(เดินเข้าไป)เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย สูเจ้าเพิ่นหล้าเฮือนเคยอยู่ อู่เคยนอน ต้องจรจำลาปะให้ปะหนา น้ำตาไตไหลสิบห้าปี ที่ไตเฮา เสียแดนเมือง(เดินเข้าไป)เคยฮุ่งเฮือง หมู่ข้าน้อย อยู่สุขสบายลุงแก่งตา ได้สร้างสา บ้านเมืองไว้ให้บัดนี้จากไกล ไตเสียดายเด....สิบห้าปี ที่ไตเฮา ห่างแดนดิน(เดินกันไป)จงเอ็นดู หมู่ข้าน้อย ที่พลอยพลากบ้านเฮาคนไต ย้ายกันไปทุกถิ่นทุกฐาน จงฮักกันเด้อ....ไตดำเฮานาสิบห้าปี ไตดำเฮา เสียดายเด(เดินเข้าไป)เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย สูเจ้าเพิ่นหล้าเฮือนเคยอยู่ อู่เคยนอน ต้องจรจำลาปะให้ปะหนา น้ำตาไตไหลสิบห้าปี ที่ไตเฮา เสียแดนเมือง(เดินเข้าไป)เคยฮุ่งเฮือง หมู่ข้าน้อย อยู่สุขสบายลุงแก่งตา ได้สร้างสา บ้านเมืองไว้ให้บัดนี้จากไกล ไตเสียดายเด....สิบห้าปี ที่ไตเฮา ห่างแดนดิน(เดินกันไป)จงเอ็นดู หมู่ข้าน้อย ที่พลอยพลากบ้านเฮาคนไต ย้ายกันไปทุกถิ่นทุกฐาน จงฮักกันเด้อ....ไตดำเฮานาสิบห้าปี ไตดำเฮา เสียดายเด(เดินเข้าไป)เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย สูเจ้าเพิ่นหล้าเฮือนเคยอยู่ อู่เคยนอน ต้องจรจำลาปะให้ปะหนา น้ำตาไตไหลสิบห้าปี ที่ไตเฮา เสียแดนเมือง(เดินเข้าไป)เคยฮุ่งเฮือง หมู่ข้าน้อย อยู่สุขสบายลุงแก่งตา ได้สร้างสา บ้านเมืองไว้ให้บัดนี้จากไกล ไตเสียดายเด....

ประโยชน์จากไปรษณีย์อิเลคทรอนิค

ประโยชน์จากไปรษณีย์อิเลคทรอนิค อีเมล์จึงเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ทันสมัยรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญ ดังนี้ 1. ทำให้การให้การติดต่อสื่อสารทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วทันที ระยะทางไม่เป็นอุปสรรค สำหรับอีเมล์ในทุกแห่งทั่วโลกที่มีเครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อถึงกันได้ สามารถเข้าไปสถานที่เหล่านั้นได้ทุกที่ ทำให้ผู้คนทั่วโลกติดต่อถึงกันได้ทันที ผู้รับสามารถจะรับข่าวสารจาก อีเมล์ได้แทบจะทันทีที่ผู้ส่งจดหมายส่งข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์เสร็จสิ้น 2. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รับที่ต้องการได้ทุกเวลา แม้ผู้รับจะไม่ได้อยู่ที่หน้าจอ คอมพิวเตอร์ก็ตาม จดหมายจะถูกเก็บไว้ในตู้จดหมายของคอมพิวเตอร์และเป็นส่วนตัว จนกว่า เจ้าของจดหมายที่มีรหัสผ่านจะเปิดตู้จดหมายของตนเอง 3. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รับหลายๆ คนได้ในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียเวลาส่งให้ ทีละคน กรณีนี้จะใช้กับจดหมายที่เป็นข้อความเดียวกัน เช่น หนังสือเวียนแจ้งข่าวให้สมาชิกใน กลุ่มทราบหรือเป็นการนัดหมายระหว่างสมาชิกในกลุ่ม เป็นต้น 4. ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปส่งจดหมายถึงตู้ไปรษณีย์ หรือที่ทำการไปรษณีย์ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่ง เนื่องจากไม่ต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำหนัก และระยะทางของจดหมายเหมือนกับไปรษณีย์ธรรมดา 5. ผู้รับจดหมายสามารถเรียกอ่านจดหมายได้ทุกเวลาตามสะดวก ซึ่งจะทำให้ทราบว่าใน ตู้จดหมายของผู้รับมีจดหมายกี่ฉบับ มีจดหมายที่อ่านแล้ว และยังไม่ได้เรียกอ่านกี่ฉบับ เมื่ออ่าน จดหมายฉบับใดแล้ว หากต้องการลบทิ้งก็สามารถเก็บข้อความไว้ในรูปของแฟ้มข้อมูลได้ หรือจะพิมพ์ออกมาลงกระดาษก็ได้เช่นกัน 6. สามารถถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล (Transferring Files) แนบไปกับจดหมายถึงผู้รับได้ ทำให้การแลกเปลี่ยนข่าวสารเป็นไปได้โดยสะดวก รวดเร็ว ทันเวลา และทันเหตุการณ์

การริเริ่มของเด็กชายผู้ยากจน

การริเริ่มของเด็กชายผู้ยากจนครูคนหนึ่งกำลังสอนนักเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในวีโยลา (ประเทศอิตาลี)เขาสังเกตว่ามีนักเรียนบางคนมองไปที่นอกหน้าต่าง ในตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นความอยากรู้อยาก เห็นตามประสาเด็กเท่านั้น แต่เมื่อนักเรียนมองนอกหน้าต่างเป็นเวลานานซึ่งมันเป็นการรบกวนการสอนของเขา ครูจึงเดินไปที่หน้าต่างและมองออกไป เขาประหลาดใจเมื่อเห็นเด็กชายอายุ 9 ขวบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ยืนสั่นด้วยความหนาวอยู่ใกล้หน้าต่าง ครูตะโกนบอกเด็กชายคนนั้นว่าเขากำลังรบกวนการสอนของครูเด็กชายยากจนร้องไห้และกล่าวกับครูว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมแค่มาอยู่ตรงนี้เพื่อฟังท่านสอน และเรียนรู้บางอย่างก่อนที่ผมจะไปทำงานที่ร้านค้า แต่ถ้าท่านไม่ต้องการให้ผมอยู่ตรงนี้ ผมก็จะไปและไม่กลับมาอีก” “ทำไมเธอไม่สมัครเข้า เป็นนักเรียนที่นี่ล่ะ” ครูถาม เด็กชายตอบว่า “ผมไม่มีเงินสำหรับจ่ายค่าเล่าเรียนครับ”“เอาอย่างนี้ ถ้าเธอเอาจริงเอาจังที่จะเรียน ลองบอกสิ่งที่ฉันสอนเมื่อวานและก่อนหน้านั้นให้ฉันฟังซิ”คุณครูกล่าวกับเด็กชาย เด็กชายจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ครูสอนได้ ด้วยความทึ่งในตัวของเด็กชาย ครูกล่าวว่า “อย่ากังวลกับเงิน 6 ลีร์ซึ่งเป็นค่าจ้างของเธอ มาเรียนที่นี่ ฉันจะจัดการสิ่งที่จำเป็นให ้เธอ”เด็กชายมีความก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องการเรียน พอถึงปลายปีครูก็ไม่รู้ว่าจะสอนอะไรให้ เขา หลังจากนั้นมีคนจำนวนมากมาช่วยเขาให้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง เขากลายเป็นนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ เป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ และเป็นนักเขียนอิตาเลียนที่มีชื่อเสียง ข้อคิด พระเจ้าทรงช่วยผู้ที่ช่วยเหลือตนเอง

เราเลิกคบกันเถอะ…ถ้าไม่อ่าน

เราเลิกคบกันเถอะ…ถ้าไม่อ่านเคยสงสัยบ้างไหมว่าคนที่เรารักกับคนที่รักเรามันต่างกันแค่ไหนคนที่เรารัก...เราใส่ใจในเรื่องของเขาทุกอย่าง......เราแคร์ความรู้สึกเขาเสมอ......เราไม่เสียดายเวลาที่ได้อยู่ใกล้เขา......เราพยายามทำความรู้จักเขา......เราเป็นห่วงเขา......เราหวงเขา......เราเสียสละเพื่อเขาได้.................แต่................คนที่รักเรา...คนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเรา......คนที่พยายามทำความรู้จักกับเรา......คนที่แคร์ความรู้สึกเรา......คนที่เป็นห่วงเรา......คนที่ใส่ใจในทุกเรื่องของเรา......คนที่เสียสละเพื่อเราได้...แล้วถ้าให้เลือกระหว่างคนที่รักเรากับคนที่เรารักเราจะเลือกใคร1.คนที่เรารัก2.คนที่รักเรา3.ไม่เลือกใครสักคนไม่ว่าเราจะเลือกใครมันก็จะมีคนคนหนึ่งที่จะต้องเสียใจอยู่ดี1.ถ้าคุณเลือกคนที่เรารัก คนที่รักเราก็จะเสียใจ2.ถ้าคุณเลือกคนที่รักเรา คุณก็อาจจะต้องเสียใจ3.ถ้าคุณไม่เลือกใครสักคน ทั้งคุณและคนที่รักคุณก็จะต้องเสียใจ...แต่มีคนหนึ่งที่ไม่เสียใจ......คือคนที่เรารัก...

มีอารายมาฝาก

1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี 2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ 3. ถ้าแอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า 4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว 5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที 6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย7. ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ 9. ระวังคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ 10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง 11. หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือ หนังที่เราชอบดู 12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ 13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก 14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ 15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ 16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป 17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี 18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา 19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน เป็นอย่างไรบ้าง อ่านจบแล้วรู้สึกว่าอยากพูด 'อ๋อ ใช่ซี่......' 20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป 21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป 22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีนออกจากปาก ให้หลับตาด้วย 23. ปูอัด มันทำจากปลา 24. กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า 25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ 26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา 27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร 28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกัน?ลายๆ ตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา 29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ 30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน 31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา 32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดู หน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ 33. ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก 34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน 35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ 36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก 37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน' 38. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน

อ้ะ อ่านซะ

การที่เราจะคบหาหรือรู้จักใครชักคนไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ คน เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบ อยู่ในตัวมันเอง อย่าตั้งใจกับคนหนึ่งคนมากเกินไป เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว อย่าคาดหวังกับคนหนึ่งคนมากเกินไป เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอยย่างที่ทุกคนอยากให้เป็น อย่าให้เวลากับคนหนึ่งคนมากเกินไป เพราะทุกคนอยากมีเวลาที่เป็นส่วนตัว…คนเดียว อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนหนึ่งคนมากเกินไป เพราะนั้นจะทำให้เขาไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง อย่าควบคุมชีวิตคนหนึ่งคนมากเกินไป เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด อย่าบีบบัวคับคนหนึ่งคนมากไปกว่านี้ เพราะถ้าคนคนนั้นหลุดจากถาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหลังให้ในทันที เธอ...ลองมองดูฉันดีๆฉันมีลมหายใจไม่ใช่ภาพวาดที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา ฉันเองก็เป็นคนเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีสองด้านเหมือนกัน หากเธออยากจะรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง

ด้วยความจริงใจ

มนุษย์ทุกคน...จงรอไว้เถิดว่า เจ้านั้นเกิดมาต่อให้วาสนาดีแค่ไหน หากสิ้นไร้เพื่อนที่ดี ก็หนีไม่พ้นเดียวดาย *อุปสรรค์ไม่ใช่ทางแห่งความล้มเหลวหากเป็นยาวิเศษแห่งความสำเร็จ *ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะแม้แต่นาฬิกาที่ตายยังบอกเวลาได้ถึงสองครั้ง...ต่อวัน *ถ้อยคำเลวร้าย...เพียงไม่กี่คำอาจทำลายความรู้สึกดีๆ แม้มีคำพูดแสนจะวิเศษ ก็ไม่อาจลบเลือนจากความทรงจำ *เกิดมาผจญในโลกกว้าง ทุกอย่างที่ได้มาต้องขวนขวาย ต่อสู่ดิ้นลนด้วยแรงกาย แลกมา....ซึ่งความภาคภูมิ *รักที่จะฝันต้องฝ่าฟันไปให้ถึง *แมงมุม...ชักใยขึงตาข่ายหมายเหยื่อ มนุษย์ซ่อนเงื่อนไขชักใย...รัดตัวเอง *ความทรงจำอันหลงใหลบางทีก็แสนเจ็บปวด *เพื่อน คือ ใดรคนหนึ่งที่พร้อมจะเข้าใจ แต่ไม่ใช่ตามใจ *คำพูดที่เยินยอ อาจเป็นลูกดอกอ่บยาพิษ *การอ่านหนังสือ คือ การย่อเวลาหาประสบการณ์ *อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป...โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย *บทละครแห่งชีวิตผู้กำกับคือตัวเราเอง *น้ำตาเปรียบเหมือนยาล้างตาให้สดใส *อย่าร้อนรนกับคำแส้รง หากยังไม่เคยได้ยินถ้อยคำจริงใจ *กิเลสตัณหาของมนุษย์ คือ สงครามของสังคม *ผู้ปราชัยใช่ผู้อ่อนแอเป็นเพียงแค่...ผู้ประมาท *ถ้อยคำเยินยอสัดร้อยพัน หรือจะสู้ความจริงใจเพียงหนึ่งเดียว *มิตรภาพ...งอกเงยได้ด้วยความจริงใจ *เวลา...ทำให้เราค้นพบความจริง *ความหมางเมินเฉยชา บั่นทอนความผูกพัน *ใช้ชีวิตอย่างอ่อนแอ...เธอจะแพ้ตลอดกาล *บางทีสิ่งที่เธอค้นหา คือ สิ่งที่เธอไม่อาจค้นพบ *ความเฉื่อยชาเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ *ความเงียบใช่สิ่งที่ว่างเปล่า แต่แฝงความลึกลับชวนให้ค้นหา *จงเรียนรู้ที่จะเดิน..ด้วยการตัดสินใจของเราเอง *แม้จะไปไม่ถึงจุดหมายที่ใฝ่ฝัน ขอจงก้าวต่อไป อย่าท้อถอย *แม้จะไร้ถ้อยคำและกำลังใจก็จงอย่าละทิ้งความพยายาม *ฝันก็เป็นเพียงแค่ฝัน หากคุณไม่คิดจะทำให้เป็นจริง *อดีต...ปัจจุบัน .....หรืออนาคตไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำทำนาย แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง *ความโง่เขลาเป็นบทเรียนบทแรกของความฉลาด *ตราบใดที่เท้ายังก้าวติดดิน จงอย่างฝันเฟื่องให้ไกลเกินตัว *เมื่อคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องมีคำว่า รอ *ไม่เคยมีผู้แพ้...ผู้ชนะ ที่ยั่งยืน *แม้จะล้มลุกคลุกคลานสักแค่ไหน ก็ยังมีที่ให้เรายืน *สายตาที่สื่อถึงความจริงใจ คือ พลังแห่งมิตรภาพ *ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน *อย่าร้ำร้องสิ่งใดจากสังคม โดยที่คุณยังไม่ได้เป็นผู้ให้ *อุปสรรคของนักเดินทางตกหลุมเสียบ้าง หลงทางเสียหน่อยซวนเซเล็กน้อย จุดหมายนั้นอยู่ไม่ไกล *เส้นทางชีวิตเปรียบเหมีอนทางสายหนึ่งแต่มีสองทิศทาง จะเดินหน้าให้ถึงจุดหมาย หรือถอยหลังให้กับชัยชนะ *ความผิดหวังบอกเราเรื่องความอดทน *อารมณ์เยือกเย็น เป็นบ่อเกิดแห่งความสงบสุขภายใน